ว่าด้วยระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็กไทย (ตอนที่ 2 ตอนจบ)

UploadImage
 

 
         จากตอนที่1 ที่ได้เล่าถึงประวัติและวิวัฒนาการของการสอบเข้าสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทย ซึ่งในช่วงแรกใช้ระบบ Entrance และได้เปลี่ยนมาเป็นระบบ Admission จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบของ Admission อยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมีการนำสัดส่วน O-NET และ A-NET มาใช้ หรือแม้แต่ในปัจจุบันระบบ Admission ได้มีการปรับการสอบ A-NET ให้เป็นเป็นGAT และPATเพื่อให้มีความ เป็นสากล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของระบบสอบเข้าสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทยก็ยังไม่หยุด นิ่งเลยทีเดียว และยังมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง

 (ใครที่ยังไม่เข้าใจลองย้อนกลับไปอ่านตอนที่ 1 ดูอีกทีนะคะ)


UploadImage


         มาต่อกันที่ตอนที่แล้วค้าง ไว้ที่ระบบ Gat และ PAT กันนะคะ ซึ่งหลังจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบบสอบคัดเลือกโดยมีการกำหนดให้สอบ GAT (General Aptitude Test) และ PAT (Professional & Academic Test)แทน A-NET เพื่อ ให้เป็นมาตรฐานสากล เทียบได้กับการสอบ SAT ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้สอบได้มากถึง 3 ครั้งต่อปี (มี.ค. ก.ค. และต.ค.) เพื่อนำคะแนนสอบที่ได้รวมกับค่าเกรดเฉลี่ยสะสม และคะแนน O-NET ไปประกอบการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย (ซึ่งมีทั้งการรับสมัครผ่านโควตา รับสมัครตรง และรับสมัครส่วนกลาง)


UploadImage
 

... สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่า GAT และ PAT นั้นคืออะไร มาทำความเข้าใจกันก่อนทางนี้ค่ะ ...

         ข้อสอบGATนั้น ครึ่งหนึ่งเป็นการวัดความสามารถในการเขียน คิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาและอีกครึ่งหนึ่งเป็นความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษด้วยเจตนาให้ สามารถศึกษาค้นคว้าจากตำราต่างประเทศได้ด้วยตนเอง ส่วนของPAT นั้นมี การจำแนกลงไปเป็นหลาย ๆ ชุดข้อสอบ  เพื่อให้ผู้สอบสามารถเลือกสอบตามความถนัด และมหาวิทยาลัยสามารถคัดเลือกคนได้ตามความต้องการ  เบื้องต้น มีการจำแนกประเภทของPAT  ออกเป็น 7 ประเภท คือ คณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์  วิศวกรรม  สถาปัตยกรรม  วิชาชีพครู ศิลปะ และภาษา โดยภาษานั้นมีการแยกย่อยลงไปเป็นภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน  ญี่ปุ่น อาหรับ  และบาลี   โดยค่าคะแนนเฉลี่ยกลางที่ ทปอ. กำหนดให้ใช้ประกอบการพิจารณาคือ  GPAX 20%, O-NET 30%,  GAT  10% - 50%,  PAT 0% - 40%    ซึ่งค่าสัดส่วนคะแนน  O-NET  GAT และPAT  นั้น ถูกนำไปพิจารณาในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามภาควิชาฯ คณะฯ และมหาวิทยาลัย 
 
         ซึ่งระบบAdmission ที่ใช้ GAT และ PAT นี้ ทปอ.ให้เหตุผลว่าจะนำมาแก้ไขปัญหาในอดีตได้โดย ที่O-NET จะช่วยดึงให้นักเรียนสนใจเรียนในห้องไม่เอาเวลาไปใช้กวดวิชาการวัดGAT และPAT จะช่วยวัดศักยภาพและความถนัดในการเรียนทำให้เลือกเรียนในสาขาที่ตรงกับความ ต้องการของตนเองในขณะที่มหาวิทยาลัยก็ได้เด็กที่มีความสามารถเหมาะสมต่อการ ศึกษารวมถึงการเลือกสอบเฉพาะไม่เกิน ๓ วิชา ยังช่วยลดความเครียดและความเหลื่อมล้ำในทางเศรษฐกิจระหว่างนักเรียน

UploadImage


         แต่ในทางกลับกันปัญหาระบบ Admission ในปัจจุบันเมื่อนำมาใช้จริงๆ แล้วพบว่ามีข้อบกพร่องอยู่อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น

- รูปแบบการคัดเลือกปัจจุบันไม่สอดคล้องกับพัฒนาการของนักเรียนโดยเฉพาะตัวข้อ สอบที่ยังเน้นแต่เนื้อหา (ใครท่องจำมาดีก็กลายเป็นว่าเก่ง ถนัดด้านนั้นไป)

- การเรียนทั้ง 8 กลุ่มสาระเป็นการบังคับมากเกินไปจนเป็นสาเหตุให้เกิดการกวดวิชาแม้กระทั่ง เนื้อหาที่ตนเองไม่สนใจและไม่ได้นำไปใช้ศึกษาต่อ

- นักเรียนจำนวนมากไม่ได้มีความเข้าใจในระบบการสอบเพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ บ่อยครั้ง(อันนี้เป็นปัญหาที่น้องๆ ก็เบื่อหน่ายใช่ไหมคะ ?)

- สัดส่วนGPAX และO-NET มีไม่มาก และข้อสอบGAT มีภาษาอังกฤษครึ่งหนึ่งทำให้เด็กจังหวัดเสียเปรียบในเมือง ทั้งในเชิงสังคมศาสตร์ และภูมิศาสตร์ และการเดินทางเข้ามาสอบ

- ข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ที่กำหนดให้สอบรวมกันไปทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ซึ่งไม่สามารถวัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์ของเด็กได้อย่างแท้จริง

- ข้อสอบบางประเภทยากมาก หรือมีปัญหาไม่ให้เฉลยจนเป็นที่สงสัยว่าข้อสอบอาจผิด และให้มีเวลาในการทำข้อสอบน้อยมากเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กทิ้งห้องเรียน ไปกวดวิชา

- ด้วยความไม่แน่นอนของระบบจึงทำให้มหาวิทยาลัยและคณะวิชาหลายๆ แห่งไม่ได้ปฏิบัติตามเกณฑ์ของ ทปอ.  แต่เปลี่ยนไปใช้เกณฑ์ที่ตนเองต้องการ มีการรับสมัครสอบตรงของสาขาวิชา ซึ่งสัดส่วนรับตรงหลายๆ แห่งมีจำนวนรับเข้าศึกษามากกว่าระบบ Admission ซึ่ง


         ปัญหาที่ตามมาจากการรับตรงของแต่ละมหาวิทยาลัยก็วนกลับไปที่เดิม ปัญหาก็คล้ายกับก่อนที่จะมีระบบการสอบ Entrance นั่นก็คือ เด็กเก่งตระเวนสอบไปแย่งที่นั่งของเด็กไม่เก่ง ซึ่งก็ทำให้เกิดระบบขึ้นมาใหม่(ให้ปวดหัว) อีกระบบนั่นก็คือ ระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ (Clearinghouse)ซึ่ง ทปอ. หรือ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นเพื่อคอยรับรายชื่อของเด็กที่ ติดและประกาศรายชื่อเด็กว่าติดรับตรง เพื่อจะได้ไม่ไปกันที่เด็กคนอื่นๆซึ่งขณะนี้ระบบเคลียริ่งเฮาส์นี้ก็ยังไม่เสถียร มีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา(ต้องติดตามข่าวสาร เพราะยังแจ้งรายชื่อมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมเพิ่มเติมเรื่อยๆ ติดตามได้ที่นี่)

 UploadImage


         **โดย สรุปแล้วการสอบเข้าสถาบันอุดมศึกษาของประเทศไทยที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้  ไม่เพียงแต่จะคัดเด็กไม่ได้ตรงกับความต้องการของมหาวิทยาลัยเท่านั้น(ทำให้ เด็กที่สอบเข้าได้ กลับต้องถูกรีไทร์ในภายหลัง)แต่ยังสร้างความลำบากกับเด็กที่ด้อยโอกาสในขณะ เดียวกันการกวดวิชากลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมชีวิตของเด็กๆ เต็มไปด้วยความเครียดเพราะการสอบมีเยอะแยะมากมายทั้งสอบกลางภาค ปลายภาคO-net สอบตรง โควตา GAT และPAT นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการคัดเลือกที่ส่งเสริมให้มีการแย่งชิงใช้ทุน สูง และสร้างความคาดหวังในทางวัตถุให้กับเยาวชน ส่งผลให้เยาวชนรุ่นใหม่ขาดจิตสำนึกสาธารณะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เปรียบ  ดังคำกล่าวที่ว่า  “โกงไม่เป็นไร  ขอให้เก่งก็พอ” 
 

         หาก เป็นไปได้อยากให้รัฐบาลกำหนดให้การคัดเลือกเข้าสู่อุดมศึกษานี้เป็นวาระแห่ง ชาติ ซึ่งผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วนจะต้องเขามารับรู้และร่วมแสดงความคิดเห็น  เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงใดๆเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอย่างแท้จริง และไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง มีช่วงเวลาให้เยาวชนได้ปรับตัว  ในขณะเดียวกันผู้เกี่ยวข้องทั้งสถาบันอุดมศึกษา หรือผู้เกี่ยวข้องที่อาจจะสูญเสียประโยชน์บางส่วน ควรจะยอมรับได้เมื่อได้เข้ามามีส่วนร่วม ทำเพื่อประโยชน์ทางการศึกษามากกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจ